045 ธรรมปัจเวกขณ์
เราได้พยายามปฏิบัติธรรม ให้เข้าแนว หรือเข้าทาง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ยืนยันว่า มีทางนี้ทางเดียว เท่านั้น ไม่มีทางอื่น ซึ่งสรุปย่อๆลง ก็เรียกว่า มรรคอันมีองค์ ๘ มรรคแปลว่าทาง ทางปฏิบัติ อันมีองค์ ๘ เท่านี้ เป็นทางเดียว ทางเอก ทีนี้ในส่วนประกอบที่จะปฏิบัติ มรรคองค์ ๘ นั้น ก็ขยายความไปได้ เราก็ได้พยายาม ขยายความ กันหลายนัย ในหลักวิชา ก็ขยายไป จนกระทั่งถึง สติปัฏฐาน ซึ่งก็มี หลักย่ออยู่ที่ สัมโพชฌงค์ ๗ ซึ่งก็เคยขยายให้ฟังแล้ว และ ก็ได้เคยขยาย เป็นภาษา เคียงไปอีกให้ฟังว่า เราจะปฏิบัติอย่างไร เราก็ปฏิบัติ มีสติ นั่นแหละ รู้ตัวทั่วพร้อม นั่นแหละ ปฏิบัติให้รู้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นั่นเป็นหลัก ๓ ทาง ๓ กรรม เพราะงั้น กิริยาที่จะแสดงออก ต้องควบคุม เคยเขียนไว้ ตั้งแต่ในหนังสือ "คนคืออะไร" ว่าทาง ๓ ทางนี้ เราระวังจะออก เพราะฉะนั้น กายกรรมจะแสดงออก ให้ระมัดระวัง วจีกรรมจะแสดงออก ให้ระมัดระวัง มโนกรรมจะแสดงออก ให้ระมัดระวัง ควบคุม มีสติสัมปชัญญะ รู้ตัว กาย วจี มโน ให้พรั่งพร้อม จริงๆ แล้วก็ วิเคราะห์วิจัย เป็นธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ให้จริงๆ อย่าให้มันเป็นทุจริต อันเกินฐานเรา อย่าให้มันมิจฉา อันเกินฐานะของเรา เรากำหนดตัวเราเองว่า เราจะมี กายวจีมโน ให้ดีอย่างนี้ อยู่ในแวดวง โดยเฉพาะ หลักซ้อนลงไปว่า เป็นหลักของศีลก็ดี หลักกรรมฐาน ก็ตาม หลักตบะก็ตาม อย่าให้มันละเมิดออกไป เป็นทุจริต ในแง่เชิง ที่เราได้ตั้งให้แก่ตน ให้สำคัญ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ศีลหรือหลักกรรมฐาน ก็ประกอบอยู่ในนี้ ควบคุม กายวจีมโนจริงๆ ส่วนที่จะรับเข้านั้น ก็คือ ทวารทั้ง ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัส แล้วเราจะรับเข้ามา ปรุงร่วมกับจิต กับกาย กับวจีกรรม ของเรานี่ เราจะต้องพยายาม วิเคราะห์แล้ววิจัยอีก อย่าให้มันมาร่วม มันมาเป็นเหตุปัจจัย ทำให้เราอะไรตอบออกไป หรือว่ารับเข้าไว้ จนกลายเป็น สั่งสมกิเลส หรือสั่งสมไม่พอ แสดงออก ตอบโต้ เป็นกิเลส ย้อนออกไปอีก ก็จะต้องตรวจตาม พยายามพิจารณา รู้เห็นจริงว่า เรารับสัมผัส กระทบด้วย ทวารทั้ง ๖ นี่แหละ ไม่มีอื่น แล้วเราก็เอามา ร่วมปรุง ร่วมรู้ ร่วมกระทำ บทกิริยา ออกทางกาย ทางวจี ทางมโน ก็สัมพันธ์กัน ระหว่าง ทวารทั้ง ๖ นี้ เพราะทวารรับ คือ ๖ ทวาร ทวารจ่ายออก คือ ๓ ทวาร เป็น ๙ ทวาร ทั้งหมดนี่ เคยสรุป เคยเขียนไว้ใน "คนคืออะไร" เมื่อเราได้ควบคุมทวารออก ๓ ทวาร ทวารเข้าอีก ๖ ทวารนี้ อย่างดี มีปัญญารู้แจ้ง รู้วิเคราะห์วิจัย กันอย่างจริงจังเลย อย่าให้เป็นอกุศล อย่าให้เป็นทุจริต อย่าให้เป็นชั่วบาป อย่าให้เป็นความผิด อันสมเหมาะ กับฐานะของเรา เราจะมีกรรมฐาน เราจะมีศีล เราจะมีตบะ เราจะมีหลักประพฤติ อันที่เราได้กำหนด สมาทาน สมาทาน หมายความว่า เราฉวยเอาไว้ ประพฤติให้มีเสมอๆ ถ้าบอกว่า อย่าทำอย่างนี้ เราก็อย่าให้ได้เรื่อยๆ อย่าไปกระทำ อย่าให้มันเกิดอาการบทบาท ถ้าเราบอก เราจะทำอย่างนี้ ก็จงทำอย่างนั้นให้ได้ เป็น อภิสมาจาร ให้ดีขึ้น ดีขึ้น ลักษณะบอกว่าเป็น บาปสมาจาร คือเราจะต้องละเว้น เลิกหลุด วางปล่อย ก็อย่าให้ได้ อย่าทำให้ได้จริงๆ อย่าให้มันเป็นจริงๆ หลักการกว้างๆใหญ่ๆ ก็เป็นดังนี้ สัมพันธ์กับตัวชีวิต ไม่ว่าทวารออก ทวารเข้า หรือจะอธิบาย โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ในนัยซ้อนลงไปอีก มันก็อยู่ในหลักการ อันนี้ทั้งสิ้น นี่เป็นมรรคองค์ ๘ ปฏิบัติแล้ว จะสั่งสมเป็นสมาธิ ดังที่ได้ยืนยันแล้ว ยืนยันอีก ใน มหาจัตตารีสกสูตร และในสมาธินั้น ก็จะพยายามผลิตผล ออกเป็นญาณ สัมมาญาณะ และสัมมาวิมุติ เป็นที่สุด อย่างแท้จริง ญาณและวิมุติ ไม่ได้เกิดเอง ก็เกิดมาจากสมาธิ ที่มันได้สั่งสม ด้วยองค์ ๗, องค์ ๗ นี้ เมื่อปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง ไตร่ตรองจริง แล้วก็เกิดสภาวะที่ละก็ดี ที่ทำให้ยิ่งก็ดี อันใดทำให้ยิ่ง ก็ทำให้ยิ่ง อันใดควรละ ละให้จริงแล้วกัน และก็ทำให้ยิ่งกัน สนับสนุน สอดคล้อง กันอยู่อย่างนี้ เราจะเกิด อธิจิต จิตของเราจะกล้าแข็ง มีอำนาจทางจิต สามารถปล่อยปละ ละวาง ปัญญาก็จะละเอียดลออ รู้ลึก รู้ซึ้ง รู้ความจริงที่แม่นชัด แม่นตรง เห็นรู้แล้วทำได้เสมอๆๆ สลับซับซ้อนเป็น สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน อันลึกซึ้ง ลึกซึ้งขึ้น เสมอๆ นี่เป็นเรื่องที่ กำชับกำชากันอีก อธิบายกันอีก เป็นบทอธิบาย ที่ใช้หัวข้อ ใช้หลักธรรม มาขยายความ ให้พวกเรา ได้ยืนยัน ยืนหยัดว่า เราได้ปฏิบัติอย่างนี้ ถูกทาง ถูกมรรคองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้า ดีอยู่หรือ? ขั้นตอนฐานะก็บอกซอยไว้แล้ว ว่าขั้นตอนของเราเอง มีตบะ หรือว่า มีสมาทาน บทสมาทาน หรือว่า มีกรรมฐานอะไร ก็เรียกมีศีล ก็เรียกมีวินัย ก็เรียกมีพรต พรตก็คือหลักปฏิบัติ ที่จริงพรต เป็นตัวประพฤติ ก็เรียก เรามีอย่างนั้น จริงหรือเปล่า แล้วเราก็ประพฤติ ให้ซ้ำซาก ให้เกิดผลจริง ให้เป็นไปได้จริง เป็น พหุลีกตา คือ มากหลาย ซ้ำซากอยู่นั่นแหละ จนเกิดปรากฏ แล้วไอ้สิ่งที่มันหลุด ก็ปรากฏออก หรือไอ้สิ่งที่สามารถลด จางคลาย ก็ปรากฏได้ ไอ้สิ่งที่อยู่เหนือ ก็ปรากฏจริง ให้เกิดผลเป็นวิมุติ วิมุติหลุดพ้น จางคลาย ออกจากอกุศล ชั่วบาปทั้งปวง ทุจริตทั้งปวงได้จริงๆ เราก็ต้องประพฤติ ปฏิบัติพิสูจน์ และ ก็ทำจริงๆนะ นี่เป็นเรื่องที่เล่าให้ฟัง ซ้ำให้ฟัง ย้ำให้ฟัง เราจะดูถูกกายกรรม ดูถูกวจีกรรม โดยเราไม่สำรวมสังวร ไม่อ่าน ไม่รู้ เข้าไปอีกไม่ได้ เราต้องอ่านรู้ เรานึกว่า เราพูดดีแล้ว แต่ในพูดนั่นแหละ ยังไม่ดี เรานึกว่า เราทำกิริยาดีแล้ว กายกรรมดีแล้ว ในกรรมกิริยานั้นแหละ ยังไม่มีดี หรือยังมีดีกว่านั้น จริงๆ เรายังมีข้อบกพร่อง ในสิ่งเหล่านี้ อีกมาก หลายชั้นหลายเชิง หลายระดับเหลือเกิน แต่เราก็ประมาทว่า เราทำดีแล้วทุกอัน ในขณะที่เราทำดีแล้ว ถ้าเรามีปัญญารู้ว่า ดีกว่านี้ยังมีอีก เราก็จะรู้ว่า เออ! ในองค์ประกอบอย่างนี้ ถ้าเราทำดีอย่างนี้ จนเขาก็สามารถ เป็นคุณเป็นค่า เป็นประโยชน์ เราก็สามารถทำได้ แนบเนียน สุภาพ เรียบร้อย ดีงาม สละสลวยกว่านี้ นั่นคือ ความเจริญอยู่ทุกเมื่อ ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แล้วเราก็จะกระทบ รับสัมผัส ทางทวารทั้ง ๖ จะรู้เท่าทัน จะนิ่งแน่ มีสติสัมปชัญญะ ความแข็งแรง มั่นคง สุภาพเรียบร้อย สุขุม ประณีต สละสลวย งดงาม ไม่หวือหวา ฟู่ฟ่า หลบนั่นเลี่ยงนี่ หรือว่า บกพร่องนั่น บกพร่องนี่เลย เป็นอันขาด นะ คิดว่าได้อธิบายแค่นี้ นักปฏิบัติพวกเรา ก็คงจะได้สังวรสำรวม เป็น สังวรปธาน ปหานปธาน และก็ ภาวนาปธาน เกิดมรรคเกิดผล เกิดสิ่งที่เป็นไปได้ สุดท้ายก็ถึง อนุรักขณาปธาน คือจะต้องติดตาม รักษา สิ่งที่ได้ ที่ดีนี้ไว้ ไปตลอดเสมอๆ แล้วก็พัฒนาสิ่งดีเกิดขึ้น ตราบที่เรายังมี รูปนามขันธ์ ๕ เราต้องมี อากัปกิริยา มีอิริยาบถ มีการกระทำการงาน อยู่ตลอดไป เพราะฉะนั้น จึงจำเป็น ที่จะต้องเรียนรู้ ให้ชัดแจ้ง ไม่เช่นนั้น เราทำสิ่งที่สัมพันธ์กับโลก สัมพันธ์กับผู้อื่น สัมพันธ์กับความกว้างขวาง อะไรไปอีก ไม่ได้ เราจะต้องสัมพันธ์ให้ได้ เป็นประโยชน์ท่านให้จริง ประโยชน์ตน ก็เรียนรู้ รู้ที่จบ รู้ที่ตัด รู้ที่ต่อ รู้ความสงบ ความสูงสุด ที่ดีที่สุด แห่งจิตแล้ว และเราก็สามารถ รังสรรค์สร้างสรรไปได้ ไม่ขัดแย้ง ไม่ค้านกัน ทุกคนเห็นร่วม ทุกคนเห็นดี หรือ มากคนเห็นร่วม มากคนเห็นดีนะ สามารถทำได้ปานฉะนี้ นั่นคือผลสำเร็จ ขอให้ทุกคนฟัง ไตร่ตรอง และก็เอารายละเอียดเหล่านี้ มากำกับตน ประพฤติตนให้ได้ สมแก่ ฐานานุฐานะ เป็นสามีจิปฏิปันโน คือ ผู้ประพฤติธรรมนั้น ได้ธรรมะสมควรแก่ธรรม ตามฐานานุฐานะ ของแต่ละบุคคล เถิดเทอญ สาธุ. ธรรมปัจเวกขณ์ ๒๕๒๖
|